“ทำไมถึงต้องมีห้างหุ้นส่วนสามัญ ? แตกต่างจากการประกอบธุรกิจในรูปบุคคลธรรมดาอย่างไร”
เป็นคำถามที่หลายคนเคยสงสัย ถึงข้อได้เปรียบเสียเปรียบ ในที่นี่จะขอยกตัวอย่าง ให้ได้เห็นภาพชัดเจนค่ะ
“อ่านสักนิด ชีวิตเปลี่ยน”
ตามประมวลรัษฎากรถือว่าห้างหุ้นส่วนสามัญนั้นเป็น หน่วยภาษีประเภทบุคคลธรรมดา แยกออกต่างหากจากบุคคลที่มาร่วมกันจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญ ทำให้การร่วมมือกันทำธุรกิจในรูปห้างหุ้นส่วนสามัญจะต้องเสียภาษีในฐานะห้างหุ้นส่วน แยกต่างหากไม่เกี่ยวข้องกับผู้เป็นหุ้นส่วน ยกตัวอย่าง เช่น นายวิชัย ประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้างตกแต่งภายใน มีรายได้ต่อปีประมาณ 1 ล้านบาท ในการคำนวณเงินได้ที่ต้องเสียภาษีโดยเลือกหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ 70% ตามกฎหมาย (สามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายได้ตามจริงแต่ต้องมีหลักฐานถูกต้องครบถ้วน)
คำนวณภาษีที่ต้องชำระดังนี้
เงินได้พึงประเมิน | 1,000,000 |
หัก ค่าใช้เป็นการเหมา 70% | 700,000 |
เงินได้หลังหักค่าใช้จ่าย | 300,000 |
หัก ค่าลดหย่อนผู้มีเงินได้ | 30,000 |
เงินได้พึงประเมินสุทธิ | 270,000 |
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่ต้องเสีย | 6,000 |
ในปีต่อมานายวิชัย ขยายกิจการเพิ่ม จึงชักชวนเพื่อนมาลงทุน โดยจัดตั้งห้างหุ้นส่วนขึ้นมาใหม่ว่า “ห้างหุ้นส่วนสามัญ มีดีก่อสร้างแอนด์คอนสตรัคชั่น” โดยรับงานในนามห้างหุ้นส่วน มูลค่า 1 ล้านบาท โดยในปีเดียวกันนี้นายวิชัย มีรายได้จากงานตกแต่งภายในอีก 800,000 บาท
มาดูความแตกต่างของภาษีทั้ง 2 ตัวกันค่ะ
ห้างหุ้นส่วนสามัญ มีดีก่อสร้งแอนด์คอนสตรัคชั่น | นายวิชัย “เมื่อไม่จดทะเบียนห้างหุ้นส่วน | |
เงินได้พึงประเมิน | 1,000,000 | 1,800,000 |
หัก ค่าใช้จ่ายเป็นการเหมา 70% | 700,000 | 1,260,000 |
เงินได้หลักหักค่าใช้จ่าย | 300,000 | 540,000 |
หัก ค่าลดหย่อนผู้มีเงินได้ | 30,000 | 30,000 |
เงินได้พึงประเมินสุทธิ | 270,000 | 510,000 |
ภาษีที่ต้องชำระ | 6,000 | 29,000 |
จะเห็นได้ว่าเมื่อจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญ มีดีก่อสร้างแอนด์คอนสตรัคชั่นแล้วประหยัดภาษีได้ถึง 23,000 บาทต่อปี ในที่นี้ยังไม่ได้กล่าวถึงความยุ่งยากเมื่อมีรายได้ถึง 1,800,000 แต่นายวิชัยไม่ได้เข้าระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม คือไม่ได้ไปจดทะเบียนกับกรมสรรพากรนั่นเอง
ห้างหุ้นส่วนจำกัด การประกอบกิจการประเภทนี้ จะแตกต่างกันในเรื่องของความรับผิดของห้างหุ้นส่วน ซึ่งแยกออกเป็น 2 ส่วนคือ
หุ้นส่วนผู้จัดการ ผู้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการต้องรับผิดชอบในหนี้สินของห้างโดยไม่จำกัดจำนวน
หุ้นส่วนทั่วไป สามารถกำหนดความรับผิดชอบในหนี้สินได้ไม่เกินจำนวนเงินที่ได้ลงหุ้น
ความแตกต่างกันอีกเรื่องหนึ่งคืออัตราภาษีที่ต้องชำระ
อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา/ห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน | อัตราภาษีร้อยละ | อัตราภาษีนิติบุคคล SME | อัตราภาษีร้อยละ |
เงินได้สุทธิ 1-150,000 | ยกเว้น | กำไรสุทธิ 300,000 | ยกเว้น |
150,001-300,000 | 5 | 300,000>=3,000,000 | 15 |
300,000-500,000 | 10 | เกิน 3,000,000 ขึ้นไป | 20 |
500,001-750,000 | 15 | ||
750,001-1,000,000 | 20 | ||
1,000,001-2,000,000 | 25 | ||
2,000,001-5,000,000 | 30 |
5 ล้านขึ้นไป 35%
จะเห็นได้ว่าอัตราภาษีสูงสุดของ SME อยู่ที่ 20% ในขณะที่บุคคลธรรมดาอัตราสูงสุดคือ 35% ส่วนฐานภาษีบุคคลธรรมดาเรียกเก็บจากเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนไม่ว่าจะมีกำไรหรือไม่ก็ตาม ในขณะที่นิติบุคคล SME ฐานภาษีเรียกเก็บจากกำไรสุทธิขาดทุนก็ไม่ต้องเสียภาษี